วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องที่ 7 องค์ประกอบศิลป์(Composition)


องค์ประกอบศิลป์(Composition) หรือเรียกว่า ส่วนประกอบของการออกแบบ(Elements of Design)
.
          หมายถึง การนำสิ่งต่างๆ [เส้น,สี,ค่าน้ำหนัก,รูปร่าง-รูปทรง,พื้นผิว] มาบูรณาการเข้าด้วยกันตามสัดส่วน ตรงตามคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ 
          เพื่อให้เกิดผลงานที่มีความเหมาะสม โดยต้องคำนึงถึงปัจจัย ต่อไปนี้
                      1. รูปแบบที่สร้างสรรค์
                      2. ความงามที่น่าสนใจ
                      3. สัมพันธ์กับประโยชน์ใช้สอย 
                      4. เหมาะสมกับวัสดุ
                      5. สอดคล้องกับการผลิต
          องค์ประกอบศิลป์ ประกอบไปด้วย
                      1. เส้น 
                      2. สี 
                      3. ค่าน้ำหนัก 
                      4. รูปร่าง-รูปทรง 
                      5. พื้นผิว 

1. เส้น (line) 
ความหมายและความสำคัญของเส้น   ลักษณะของเส้น 

ความหมายและความสำคัญของเส้น
     ความหมายของเส้น 
        เส้น คือ ร่องรอยที่เกิดจากเคลื่อนที่ของจุด  หรือถ้าเรานำจุดมาวางเรียงต่อ ๆ กันไปก็จะเกิดเป็นเส้นขึ้น
เส้นมีมิติเดียว  คือ  ความยาว ไม่มีความกว้าง ทำหน้าที่เป็นขอบเขตของที่ว่าง รูปร่าง รูปทรง น้ำหนัก  สี  
ตลอดจนกลุ่มรูปทรงต่าง ๆ รวมทั้งเป็นแกนหรือ โครงสร้างของรูปร่างรูปทรง 
       

เส้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญของงานศิลปะทุกชนิด เส้นสามารถให้ความหมาย แสดงความรู้สึก แสดงอารมณ์ได้ด้วยตัวเองและด้วยการสร้างเป็นรูปทรงต่าง ๆ ขึ้น 

        เส้นมี 2 ลักษณะคือ เส้นตรง   (Straight Line) และ เส้นโค้ง   (Curve Line)
เส้นทั้งสองชนิดนี้ เมื่อนำมาจัดวางในลักษณะต่าง ๆ กัน จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ และให้ความหมาย ความรู้สึกที่แตกต่างกันอีกด้วย

    ความสำคัญของเส้น 
    1. ใช้ในการแบ่งที่ว่างออกเป็นส่วน ๆ 
    2. กำหนดขอบเขตของที่ว่าง หมายถึง  ทำให้เกิดเป็นรูปร่าง (Shape) ขึ้นมา 
    3. กำหนดเส้นรอบนอกของรูปทรง ทำให้มองเห็นรูปทรง (Form) ชัดขึ้น 
    4. ทำหน้าที่เป็นน้ำหนักอ่อนแก่ ของแสดงและเงา หมายถึง การแรเงาด้วยเส้น 
    5. ให้ความรู้สึกด้วยการเป็นแกนหรือโครงสร้างของรูป และโครงสร้างของภาพ

 2. สี (color)
ความเป็นมาของสี   ที่มาและความสำคัญของสี   สีกับความรู้สึก   ชนิดของสี


 ความเป็นมาของสี

                        ในอดีตมนุษย์ได้ค้นพบสีจากแหล่งต่าง ๆ  จากพืช  สัตว์  ดิน และแร่ธาตุนานาชนิด มาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง
              โดยนำมาระบายลงไปบนสิ่งของ ภาชนะเครื่องใช้ รวมไปถึงการใช้สีวาดลงไปบนผนังถ้ำเพื่อใช้ถ่ายทอดเรื่องราว 
              และใช้สีทาตามร่างกายเพื่อกระตุ้นให้เกิดความฮึกเหิม หรือใช้สีเป็นสัญลักษณ์ในการถ่ายทอดความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง


  ในสมัยเริ่มแรก มนุษย์รู้จักใช้สีเพียงไม่กี่สี ซึ่งเป็นสีที่พบทั่วไปในธรรมชาติ ต่อมาเมื่อทำการย่างเนื้อสัตว์
              “ไขมันหรือน้ำมัน” ที่หยดจากการย่างลงสู่ดินทำให้ดินมีสีสันน่าสนใจ สามารถนำมาระบายลงบนวัตถุและติดแน่นทนนาน
              ดังนั้นไขมันจึงได้ทำหน้าที่เป็นส่วนผสม (binder) ซึ่งมีความสำคัญในฐานะเป็นสารชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของสี
              ทำหน้าที่เกาะติดผิวหน้าของวัสดุที่ถูกนำไปทาหรือระบาย

                     นอกจากไขมันแล้ว ยังได้นำไข่ขาว, ขี้ผึ้ง(Wax), น้ำมันลินสีด(Linseed), กาวและยาไม้
(Gum arabic),
              เคซีน (Casein : ตะกอนโปรตีนจากนม) และสารพลาสติกโพลีเมอร์(Polymer) มาใช้เป็นส่วนผสม ทำให้เกิดสีชนิดต่าง ๆ ขึ้นมา

องค์ประกอบของสี แสดงได้ดังนี้
เนื้อสี (รงควัตถุ)      +    ส่วนผสม    =    สีชนิดต่าง ๆ 
(Pigment)               (Binder)            (Color)

                         ในสมัยต่อมา เมื่อมนุษย์เริ่มมีคตินิยมในการรับรู้ และชื่นชมในความงามทางสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics)
              สีได้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางและวิจิตรพิสดาร มีการประดิษฐ์ คิดค้น และผลิตสีใหม่ ๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก
              ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ความงามอย่างไม่มีขีดจำกัด โดยมีการพัฒนามาเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง


 3.ค่าน้ำหนัก (Value)
ความหมายของค่าน้ำหนัก+แสงและเงา   ความสำคัญของค่าน้ำหนักและการแรเงา



ความหมายของค่าน้ำหนัก+แสงและเงา

ความหมายของค่าน้ำหนัก
          ค่าน้ำหนัก คือ ค่าความอ่อนแก่ของบริเวณที่ถูกแสงสว่างและบริเวณที่เป็นเงาของวัตถุ หรือความเข้ม-อ่อนของสีหนึ่งๆ หรือหลายสี
เช่น สีแดง มีความเข้มกว่าสีชมพู นอกจากนี้ยังหมายถึงระดับความเข้มของแสงและระดับ ความมืดของเงา ซึ่งไล่เรียงจากมืดที่สุด (สีดำ)
ไปจนถึงสว่างที่สุด (สีขาว) น้ำหนักที่อยู่ระหว่างกลางจะเป็นสีเทา ซึ่งมีตั้งแต่เทาแก่ที่สุด จนถึงเทาอ่อนที่สุด
การใช้ค่าน้ำหนักจะทำให้ภาพดูเหมือนจริง และมีความกลมกลืน ถ้าใช้ค่าน้ำหนักหลาย ๆ ระดับ จะทำให้มีความกลมกลืนมากยิ่งขึ้น
และถ้าใช้ค่าน้ำหนักจำนวนน้อยที่แตกต่างกันมาก จะทำให้เกิด ความแตกต่าง ความขัดแย้ง

แสงและเงา (Light & Shade)
         เมื่อแสงส่องกระทบกับวัตถุจะทำให้เกิดเงา แสงและเงาเป็นตัวกำหนดระดับของค่าน้ำหนัก ความเข้มของเงาจะขึ้นอยู่กับความเข้มของแสง
ในที่ที่มีแสงสว่างมาก เงาจะเข้มขึ้น และในที่ที่มีแสงสว่างน้อย เงาจะไม่ชัดเจน ในที่ที่ไม่มีแสงสว่างจะไม่มีเงา และเงาจะอยู่ในทางตรงข้ามกับแสงเสมอ



ค่าน้ำหนักของแสงและเงาที่เกิดบนวัตถุ สามารถจำแนกเป็นลักษณะที่ ต่าง ๆ ได้ดังนี้

         1. บริเวณแสงสว่างจัด(Hi-light) เป็นบริเวณที่อยู่ใกล้แหล่งกำเนิดแสงมากที่สุด จะมีความสว่างมากที่สุด ในวัตถุที่มีผิวมันวาวจะสะท้อน
              แหล่งกำเนิดแสงออกมาให้เห็นได้ชัด
         2. บริเวณแสงสว่าง(Light) เป็นบริเวณที่ได้รับแสงสว่าง รองลงมาจากบริเวณแสงสว่างจัด เนื่องจากอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแสงออกมา
              และเริ่มมีค่าน้ำหนักอ่อน ๆ
         3. บริเวณเงา(Shade) เป็นบริเวณที่ไม่ได้รับแสงสว่าง หรือเป็นบริเวณที่ถูกบดบังจาก แสงสว่าง ซึ่งจะมีค่าน้ำหนักเข้มมากขึ้นกว่าบริเวณแสงสว่าง
         4. บริเวณเงาเข้มจัด(Hi-Shade) เป็นบริเวณที่อยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแสงมากที่สุด หรือเป็นบริเวณที่ถูกบดบังมากๆ หลายๆชั้น
              จะมีค่าน้ำหนักที่เข้มมากไปจนถึงเข้มที่สุด
         5. บริเวณเงาตกทอด เป็นบริเวณของพื้นหลังที่เงาของวัตถุทาบลงไป เป็นบริเวณเงาที่อยู่ภายนอกวัตถุ และจะมีความเข้มของค่าน้ำหนักขึ้นอยู่กับ
              ความเข้มของเงา น้ำหนักของพื้น หลัง ทิศทางและระยะของเงา

ความหมายของค่าน้ำหนัก+แสงและเงา   ความสำคัญของค่าน้ำหนักและการแรเงา


 ความสำคัญของค่าน้ำหนักและการแรเงา

ความสำคัญของค่าน้ำหนัก
          1. ให้ความแตกต่างระหว่างรูปและพื้น หรือรูปทรงกับที่ว่าง
          2. ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว
          3. ให้ความรู้สึกเป็น 2 มิติ แก่รูปร่าง และความเป็น 3 มิติแก่รูปทรง
          4. ทำให้เกิดระยะความตื้น - ลึก และระยะใกล้ - ไกลของภาพ
          5. ทำให้เกิดความกลมกลืนประสานกันของภาพ

เราสามารถสร้างค่าน้ำหนักให้ภาพโดยการแรเงา
          การแรเงาน้ำหนักเป็นการสร้างเงาในภาพ ให้ดูมีความลึกมีระยะใกล้ไกลและดูมีปริมาตร เปลี่ยนค่าของรูปร่างที่มีเพียง 2 มิติให้เป็น 3 มิติ ทำให้รูปร่างที่มีเพียงความกว้าง-ยาวเปลี่ยนค่าเป็นรูปทรงมีความตื้นลึกหนาบางเกิดขึ้น ความตื้นลึกหนาบางนี่เป็นความรู้สึกเท่านั้น และการทำให้เกิดภาพเช่นนี้ก็คือ เทคนิคในการสร้างภาพลวงตา (ILLUSION) เป็นวิธีการสร้างสรรค์งานศิลปะอย่างหนึ่ง


แนวคิดในการแรเงา
          เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ เพราะอาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ หรือต้นแสงจากแหล่งกำเนิดอื่น เมื่อมีแสงสว่างก็ต้องมีเงาควบอยู่ด้วย และแสงเงาทำให้เรามองเห็นวัตถุที่ผิวสีเดียวกันมีน้ำหนักแตกต่างกัน เช่น วัตถุสีขาวส่วนที่ถูกแสงจะเป็นสีขาวสว่างจ้า แต่ส่วนที่ไม่ถูกแสงจะขาวหม่น ทั้งที่วัตถุนั้นก็เป็นสีขาวเท่ากันตลอดพื้นผิว
     เมื่อธรรมชาติของแสงเงาให้ผลที่มองเห็นเช่นนี้ ผู้เขียนจำต้องเข้าใจการจัดน้ำหนักอ่อนแก่ให้ได้ใกล้เคียงกับน้ำหนักของแสงที่ตกกระทบผิววัตถุ เพราะความแตกต่างของน้ำหนักทำให้เกิดความรู้สึกที่ต่างกันไปได้ เช่น น้ำหนักสีที่อ่อนให้ความรู้สึกเบา น้ำหนักสีที่แก่ทำให้ดูแล้วรู้สึกหนัก นอกจากนี้ยังทำให้เกิดระยะต่างๆ ในการมองเห็น ตลอดจนความรู้สึกด้านความงามในทางศิลปะ


4.รูปร่าง-รูปทรง (Shape-Form)
ความหมายและความสัมพันธ์ของรูปร่าง-รูปทรง   ประเภทของรูปร่าง-รูปทรง



 ความหมายและความสัมพันธ์ของรูปร่าง-รูปทรง

ความหมายของรูปร่าง-รูปทรง
   รูปร่าง (Shape)คือ รูปแบน ๆ มี 2 มิติ มีความกว้างกับความยาว ไม่มีความหนาเกิดจากเส้นรอบนอกที่แสดงพื้นที่ขอบเขตของรูปต่างๆ
เช่น รูปวงกลม  รูปสามเหลี่ยม หรือ รูปอิสระ ที่แสดงเนื้อที่ของผิวที่เป็นระนาบมากกว่าแสดงปริมาตรหรือมวล

   รูปทรง (Form) คือ รูปที่ลักษณะเป็น 3 มิติ โดยนอกจากจะแสดง ความกว้าง ความยาวแล้ว ยังมีความลึก หรือความหนา นูน ด้วย
    เช่น รูปทรงกลม  ทรงสามเหลี่ยม ทรงกระบอก เป็นต้น ให้ความรู้สึกมีปริมาตร ความหนาแน่น มีมวลสาร ที่เกิดจากการใช้ค่าน้ำหนัก
 หรือการจัดองค์ประกอบของรูปทรง หลายรูปรวมกัน

 ความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรง
    เมื่อนำรูปทรงหลาย ๆ รูปมาวางใกล้กัน รูปเหล่านั้นจะมีความสัมพันธ์ดึงดูด หรือผลักไสซึ่งกันและกัน การประกอบกันของรูปทรงอาจทำได้โดย
 ใช้รูปทรงที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน รูปทรงที่ต่อเนื่องกัน รูปทรงที่ซ้อนกัน รูปทรงที่ผนึกเข้าด้วยกัน รูปทรงที่แทรกเข้าหากัน รูปทรงที่สานเข้าด้วยกัน
หรือ รูปทรงที่บิดพันกัน การนำรูปเรขาคณิต รูปอินทรีย์ และรูปอิสระมาประกอบเข้าด้วยกัน จะได้รูปลักษณะใหม่ ๆ อย่างไม่สิ้นสุด



5.พื้นผิว (Texture)



 ความหมายของพื้นผิว
         พื้นผิว หมายถึง ลักษณะของบริเวณผิวหน้าของสิ่งต่าง ๆ ที่เมื่อสัมผัสแล้วสามารถรับรู้ได้ว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น หยาบ เรียบ มัน ด้าน เป็นต้น
.
ลักษณะที่สัมผัสได้ของพื้นผิว มี  2  ประเภท คือ
 
    1. พื้นผิวที่สัมผัสได้ด้วยมือ หรือกายสัมผัส เป็นลักษณะพื้นผิวที่เป็นอยู่จริง ๆ ของผิวหน้าของวัสดุนั้นๆ ซึ่งสามารถสัมผัสได้จากงานประติมากรรม
        งานสถาปัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ
    2. พื้นผิวที่สัมผัสได้ด้วยสายตา จากการมองเห็นแต่ไม่ใช่ลักษณะที่แท้จริงของผิววัสดุนั้น ๆ เช่น การวาดภาพก้อนหินบนกระดาษจะให้ความรู้สึก
        เป็นก้อนหิน แต่มือสัมผัสเป็นกระดาษ  หรือใช้กระดาษพิมพ์ลายไม้ หรือลายหินอ่อน  เพื่อสร้างพื้นผิวลวงตาให้สัมผัสได้ด้วยการมองเห็นเท่านั้น
 
         พื้นผิวลักษณะต่าง ๆ จะให้ความรู้สึกต่องานศิลปะที่แตกต่างกัน พื้นผิวหยาบจะให้ความรู้สึกกระตุ้นประสาท หนักแน่น มั่นคง แข็งแรง ถาวร
ในขณะที่ผิวเรียบจะให้ความรู้สึกเบาสบาย การใช้ลักษณะของพื้นผิวที่แตกต่างกัน  เห็นได้ชัดเจนจากงานประติมากรรม และมากที่สุดในงานสถาปัตยกรรม
ซึ่งมีการรวมเอาลักษณะต่างๆ กันของพื้นผิววัสดุหลายๆ อย่าง เช่น อิฐ  ไม้ โลหะ  กระจก  คอนกรีต หิน ซึ่งมีความขัดแย้งกัน แต่สถาปนิกได้นำมา

ผสมกลมกลืนได้อย่างเหมาะสม ลงตัวจนเกิดความสวยงาม









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น